วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

6. ความสัมพันธ์และผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อสังคมโลกและมนุษย์



  ความสัมพันธ์และผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อสังคมโลกและมนุษย์






-ผลกระทบต่อโครงสร้างความมั่นคงและระบบการเมืองโลก

                พัฒนาการทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างยุคเกษตรกรรมกับยุคอุตสาหกรรม คือ การกำเนิดของระบบรัฐชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ระบบรัฐชาตินำไปสู่การแบ่งเส้นเขตแดน มีการกำหนดกลุ่มประชากรตามสัญชาติแยกระหว่างกันอย่างชัดเจน แต่ละรัฐชาติมีอำนาจอธิปไตย และมีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างเด็ดขาดปลอดจากการแทรกแซงของรัฐชาติอื่น แนวคิดเรื่องรัฐชาตินี้ต่อมาก็ได้ขยายไปยังสังคมอื่นๆทั่วโลก ซึ่งสะท้อนกระแสโลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เป็นต้นมา
                อันที่จริงแนวคิดเรื่องรัฐชาตินี้สะท้อนกระแสแรกเริ่มของโลกาภิวัตน์แล้ว แต่เป็นไปในขอบเขตจำกัด กล่าวคือ ในแต่ละรัฐชาติถึงแม้ประชากรจะมีความแตกต่างกันหลากหลายตามชาติพันธุ์และวัฒนธรรมแต่ผู้ปกครองต้องการให้ประชากรมีความเชื่อ ค่านิยม ภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตแนวเดียวกัน เพื่อสร้างความผูกพันและความจงรักภักดีต่อชาติ แนวคิดที่จะให้เกิดแนวปฏิบัติทำนองเดียวกันดังกล่าว ในระยะต่อมาก็ได้ขยายตัวข้ามขอบเขตดินแดนรัฐอธิปไตยออกไปกว้างขวางมาก จนครอบคลุมประชาคมระดับภูมิภาคและระดับโลกกลายเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ดังเช่นปัจจุบัน
                ในขณะที่รัฐชาติเองเป็นตัวการส่งเสริมให้เกิดการผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาประเทศมหาอำนาจต่างๆที่มีพลังสนับสนุนทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการทหาร โดยรัฐเล็กในฐานะผู้รับมีส่วนในการเลือกหรือจำกัดการเข้ามาของกรแสโลกาภิวัตน์ แต่ทุกรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐใหญ่หรือรัฐเล็กก็ได้รับผลดีผลเสียจากโลกาภิวัตน์โดยถ้วนหน้า ถึงแม้จะได้รับไม่เท่ากันก็ตาม

ในแง่การเมืองตัวแสดงสำคัญในสังคมโลกน่าจะมีอย่างน้อย 4 กลุ่มใหญ่

                 กลุ่มแรก ได้แก่ บรรดาองค์การการเมืองเหนือชาติ (Supranational political bodies) องค์การระหว่างประเทศทั้งที่รัฐเป็นสมาชิกหรือที่สมาชิกประกอบด้วยบุคคลในวงวิชาชีพเฉพาะ สมาคมหรือองค์กรเอกชน

                กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มภายในชาติซึ่งสามารถดำเนินการที่มีอิทธิพลต่อรัฐชาติของตัวเอง ประเทศอื่น หรือองค์การอื่นๆนอกขอบเขตพรมแดน เช่น องค์การซึ่งมิใช่รัฐภายในชาติ กลุ่มวิชาชีพ ขบวนการซึ่งมีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน องค์การธุรกิจ ฯลฯ

               กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มหรือองค์การซึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองระดับสากลหรือภูมิภาค เช่น บรรษัทข้ามชาติ และ

              กลุ่มสุดท้าย ได้แก่  รัฐชาติเอง

สำหรับองค์การทางการเมืองเหนือชาติมีบทบาทที่ส่งผลต่อรัฐชาติอย่างน้อย 4 ทาง

               ทางแรกป็นกรณีที่รัฐชาติตกลงยินยอมให้องค์การใช้อำนาจในบางกรณี เช่น เข้าไปช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยจากความรุนแรงภายในประเทศ หรือกรณีที่รัฐยอมผ่อนปรนอำนาจอธิปไตยของดินแดนโดยให้ความร่วมมือแก่องค์การตำรวจสากล (Interpol)ในการต่อสู้กับอาชญากรรมบางประเภท เป็นต้น

               ทางที่สอง เป็นกรณีที่รัฐชาติที่เป็นสมาชิกยอมปฏิบัติตามกฎกติกาขององค์การข้ามชาติ เช่น สมาชิกของสหภาพยุโรปต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบบางอย่างที่สภายุโรปกำหนดถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดบางเรื่องก็ตาม หรือตัวอย่างกรณีของรัฐสมาชิกในองค์การการค้าโลก ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขององค์การ

               ทางที่สาม เป็นกรณีสถานการณ์จำยอมของรัฐที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจหรือการเมืองยอมให้องค์การเหนือชาติใช้อำนาจภายในในรัฐของตนได้ เช่น ยอมให้องค์การเหนือชาติส่งกองกำลังเข้าไปดูแลรักษาความสงบ หรือต้องยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขขององค์การเหนือชาติ เช่น กรณีลูกหนี้ของธนาคารโลก หรือองค์การกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเรารู้จักกันดีในนามขอไอเอมเอฟ (International Monetary Fund)

               ทางที่สี่ เป็นกรณีที่รัฐชาติยอมจำกัดอำนาจของตนจากผลของการลงนามในสนธิสัญญาหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศซึ่งมีผลบังคับทางกฎหมายเมื่อรัฐนั้นให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว หรือแม้ในบางกรณีสนธิสัญญาอาจไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่ส่งผลทางศีลธรรมซึ่งรัฐไม่อาจละเมิดได้ เช่น ข้อตกลงหลายเรื่องขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เป็นต้น ในกรณีเหล่านี้รัฐก็ต้องยอมถือปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงดังกล่าวด้วย
สถานการณ์ต่างๆดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อจำกัดการใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งในช่วงแรกเริ่มกำเนิดรัฐชาตินั้น เคยเชื่อกันว่ารัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยที่ไม่อาจละเมิดได้ แต่ในกระแสโลกาภิวัตน์ความจำเป็นบังคับให้รัฐชาติต้องยอมผ่อนปรนการใช้อำนาจเด็ดขาดของตนลงไปมากทุกขณะ

               นอกเหนือจากองค์การเหนือชาติแล้วบทบาทของรัฐยังถูกจำกัดหรือลิดรอนโดยตัวแสดงอื่นๆทั้งในชาติและระหว่างประเทศด้วย อาทิ การรวมตัวกันของกลุ่มคนภายในประเทศเพื่อล้มล้างอำนาจของรัฐบาลปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่มักมีกลุ่มบุคคลหรือองค์การจากภายนอกนอกประเทศเข้าไปเกี่ยวข้องสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือด้วย หรือองค์การธุรกิจที่เข้ามาลงทุนภายในประเทศได้ตั้งเงื่อนไขหรือดำเนินการที่ส่งผลต่ออำนาจของรัฐบาลในบางประเทศ เป็นต้น
จอร์ชจึงสรุปว่าในปัจจุบันรัฐชาติจำเป็นต้องผ่องถ่ายอำนาจหรือแบ่งปันอำนาจให้แก่องค์การเหนือชาติและองค์การภายในชาติ ซึ่งส่งผลให้ให้ตัวแสดงอื่นนอกจากรัฐชาติเข้ามามีบทบาทใช้อาจอธิปไตยแทนรัฐในการกำหนดค่านิยมหรือวิถีปฏิบัติสำหรับคนในขอบเขตพรมแดนของตน ยิ่งกระแสโลกาภิวัตน์มีความเข้มข้นรุนแรงมากเท่าไหร่อำนาจอธิปไตยของรัฐและอำนาจของรัฐบาลย่อมถูกบั่นทอนลงไปเท่านั้น

              ในสังคมยุคใหม่ของศตวรรษที่ 21 องค์การเหนือชาติมีบทบาทมากขึ้นทุกขณะ ไม่เพียงแต่ในด้านการกำหนดนโยบายเรื่องต่างๆที่รัฐชาติต้องยอมเคารพปฏิบัติแต่ยังเข้าแทรกแซงในกิจการซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นกิจการภายในของรัฐมากขึ้นในลักษณะต่างๆดังกล่าวแล้ว

              องค์การเหนือชาติสำคัญที่มีบทบาทต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ จะยังคงมีส่วนสำคัญในการกดดันประเทศที่ไม่ยอมเคารพสิทธิมนุษยชน หรือประเทศที่มีปัญหาในการบริหารงานรัฐอย่างมาก โดยองค์การข้ามชาติสามารถชักชวนมิให้ประเทศร่ำรวยสนับสนุนรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามครรลองปฏิบัติสากลในเรื่องสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานเด็ก การทุจริตประพฤติมิชอบ การละเลยสุขอนามัยของประชาชน หรือการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนรวมทั้งชักชวนบรรดาประเทศสมาชิกมิให้ติดต่อค้าขายหรือสนับสนุนประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ในสถานการณ์ที่โลกปลอดจากสภาวะการแบ่งขั้วซึ่งประเทศมหาอำนาจและบริวารต้องสนับสนุนประเทศบริวารของตน องค์การเหนือชาตินับวันจะมีบทบาทเข้มแข็งและให้ผลชัดเจนกว่าที่เคยเป็นอยู่ในระยะแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

                นอกจากองค์การเหนือชาติดังที่กล่าวแล้ว องค์การเหนือชาติสำคัญอีกสององค์การซึ่งสามารถกำหนดเงื่อนไขและแทรกแซงการตัดสินใจของแต่ละประเทศด้วยเหตุผลความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่เลี่ยงไม่ได้ คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก( ดูรายละเอียดใน Robert  M. Page, Globalization, Risk and Social Welfare, in George, หน้า 29-44)

                เดิมบทบาทของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ คือ การให้เงินกู้แก่ประเทศที่เตรียมปฏิรูปเศรษฐกิจสู่ระบบการส่งออก๖แทนที่จะเน้นระบบเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง) เพื่อชดเชยภาวการณ์ขาดดุลการค้าในระยะแรก ส่วนธนาคารโลกมีบทบาทในการปรับโครงสร้างและพัฒนาประเทศโลกที่สามหรือเรียกระยะหลังว่าประเทศกำลังพัฒนา ในช่วงแรกทั้งสององค์การนี้มักไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศผู้รับบริการ รวมทั้งไม่แตะต้องนโยบายหรือทิศทางการเมืองของประเทศดังกล่าว

               ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ถึงแม้พันธกิจของทั้งสององค์การจะยังเป็นไปดังที่เคยถือปฏิบัติ แต่บทบาทด้านการดำเนินการขององค์การดังกล่าวได้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยกล้ากำหนดเงื่อนไขและกดดันประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น มีการตั้งเกณฑ์ กติกา เงื่อนไขและเข้ากำกับการดำเนินการของประเทศที่เป็นลูกหนี้โดยตรง ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษที่ 1980 เม็กซิโกและประเทศในภูมิภาคละตินอเมริกาหลายประเทศต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายสาธารณะลงเป็นจำนวนมาก และต้องปรับโครงสร้างโครงการหลายโครงการ ผลคือ โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขอนามัย การศึกษา การขจัดความยากจน ถูกวิพากษ์ว่าไม่ได้ผลและสิ้นเปลือง จนต้องลมเลิกหรือปรับลดลงไป เงื่อนไขข้อกำหนดเช่นนี้ จากแง่มุมการเมืองยุครัฐชาติเดิมถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอย่างชัดเจน แต่องค์การเหนือชาติปัจจุบันกลับใช้อำนาจนี้โยรัฐบาลอธิปไตยซึ่งเป็นผู้ขอความช่วยเหลือจำยอมต้องปฏิบัติตาม

                 อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงบบาทขององค์การข้ามชาติ คือ องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) องค์การนี้ได้ยึดแนวทางของข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีและการค้า แต่ในระยะต่อมาได้ลงรายละเอียดเพิ่มเติมซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของชาติต่างๆกำหนดระบบการค้าโลกโดยวางกลไกการระงับข้อพิพาทที่มีประสิทธิผล กำหนดกลไกทบทวนนโยบายการค้า และกำหนดประมวลปฏิบัติที่มีผลบังคับ เท่ากับนำแนวคิดเสรีนิยมใหม่ทางการค้ามากดดันให้ทุกประเทศคู่ค้าต้องยึดถือปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการสะทอนกระแสโลกาภิวัตน์ในสังคมโลกได้อีกกรณีหนึ่ง นอกเหนือจากกรณีลักษณะอื่นๆ เช่น การรวมตัวกันของหลายประเทศเพื่อเข้าแทรกแซงกิจการภายในโดยตรง ตัวอย่างเช่นการส่งกองกำลังหรือยุทธปัจจัยเข้าไปสนับสนุนปฏิบัติการโค่นล้มรัฐบาลในประเทศอิรัก ลิเบีย อัฟกานิสถาน หรือเข้าไปรักษาความสงบในอีกหลายประเทศ เช่น โซมารเลีย เป็นต้น

                 นอกเหนือจากองค์การการเมืองเหนือชาติแล้ว ในเวทีสังคมโลกยังมีตัวแสดงสำคัญอื่นๆอีก ซึ่งมีบทบาทผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในต้นศตวรรษที่ 21 มีองค์การที่มิใช่รัฐบาลในระดับระหว่างประเทศคำนวณกว่า 40,000 องค์การ เมื่อเทียบกับ 6,000 องค์การเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนหน้านั้น หลายองค์การในจำนวนนี้เป็นองค์การขนาดใหญ่ มีทุนสนับสนุนมหาศาลเช่น  ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 องค์การ CARE International มีงบประมาณ 586 ล้านเหรียญ องค์การ World Vision International มีงบประมาณ 419 ล้านเหรียญ เป็นต้น องค์การเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นองค์การทางสังคมซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็มีบทบาทกดดันรัฐบาลของประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือหรือแม้แต่กดดันองค์การระห่างประเทศภาครัฐ (International Governmental Organizations) ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ได้ว่าบ่อยครั้งองค์การเหล่านี้ได้รับเชิญจากองค์การระหว่างประเทศภาครัฐให้เสนอแนะในกิจการที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงการแก้ปัญหาความยากจนและการพัฒนาสังคม

                บางองค์การซึ่งแม้มีทรัพยากรน้อยกว่าที่ยกตัวอย่างข้างต้นยังเข้ามามีบทบาทดำเนินการซึ่งถือได้ว่าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น เช่น องค์การกรีนพีช (Greenpeace) ซึ่งได้รับการจัดตั้งใน ค.ศ. 1971 มีสมาชิกกว่าสี่สิบประเทศ เน้นการปกป้องสภาวะแวดล้อม และดำเนินการข้ามชาติ เช่น เคยปิดล้อมหรือรบกวนเรือชาติอื่นที่จับปลาวาฬในมหาสมุทร เป็นต้น


......................................................................
กิจกรรมท้ายบทเรียน
1. ตัวแสดงสำคัญในสังคมโลกมี 4 กลุ่ม คืออะไรบ้าง จงบอกมาอย่างละเอียด
2. จงกล่าวถึงบทบาทของ องค์การค้าโลก (World Trade Organization) และองค์การกรีนพีช (Greenpeace) ในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง

------------------------------------------------------
แหล่งที่มา :  SO ๒๑๓๘      พลเมืองโลกในกระแสโลกาภิวัตน์
โดย : พลเรือตรีรองศาสตราจารย์ทองใบ ธีรานันทางกูร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น