กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
สังคมโลกกับการเปลี่ยนแปลง
ในสัปดาห์นี้จะได้กล่าวถึงเรื่อง ”กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก”
ทั้งนี้โดยมีสาระครอบคลุมหัวข้อย่อย คือ สังคมโลกกับการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งจะได้ทำการแจกแจงในรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.สังคมโลกในยุคแรก
โลกก่อตัวเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว
หลังจากเย็นตัวลงจนเกิดสภาวะที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิต
โลกได้กลายเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์และพืชนานาชนิด
ก่อนที่สิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น
และพัฒนาการมาจนเป็นมนุษย์ที่ครอบครองโลกดังเช่นที่เป็นอยู่
จากการที่มนุษย์ถือกำเนิดมาและมีชีวิตอย่างเป็นอิสระตามลำพัง
ในเวลาต่อมามนุษย์ได้รวมตัวกันเป็นกลกลุ่มก้อน
จากจำนวนไม่กี่คนจนขยายตัวเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อประโยชน์ของความอยู่รอด
และต่อมาวิวัฒนาการของมนุษย์ได้นำไปสู่สภาพสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม
จนกลายเป็นสังคมโลกซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากกระแสโลกาภิวัตน์
ดังจะกล่าวในรายละเอียดต่อไปนี้
2.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคเร่ร่อน
สังคมโลกได้พัฒนามาเป็นเวลาช้านานแล้ว
โดยร่องรอยของมนุษย์ปรากฏในบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกาและเอเชียกลาง
ในช่วงเริ่มแรกของมนุษยชาติ
มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด
จึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ แต่ปักหลักปักฐานแน่นอน
เนื่องจากต้องตระเวนเดินทางไปตามแหล่งที่มีสัตว์ให้ล่า
ส่วนใหญ่มนุษย์มักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำและพืชซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพของสัตว์
การเดินทางของมนุษย์กลุ่มต่างๆยุคแรกกระจายไปทุกทิศทาง จนเข้าสู่ทวีปเอเชีย ยุโรป
และอเมริกา
ช่วงยุคนี้อาจถือว่าเป็นยุคเถื่อนซึ่งความแข็งแรงของร่างกาย
คือ อำนาจ
3.
สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลักปักฐานเป็นหลักแหล่ง
จากกลุ่มชนเร่ร่อนดังกล่าว
ในระยะเวลาต่อมา คือ ประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อนปัจจุบัน
มนุษย์ได้พัฒนาความสามารถในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผลเพื่อการบริโภคและใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง
จึงเริ่มตั้งชุมชนที่แน่นอนขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณใกล้แหล่งน้ำสำคัญต่างๆ
เพื่อประกอบอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ส่วนการล่าสัตว์ซึ่งเป็นวิถีชีวิตเดิมมีความจำเป็นรองลงไป
การที่มนุษย์สามารถลงหลักปักฐานมีแหล่งพำนักที่แน่นอน
ผูกพันกับผืนดินซึ่งพวกเขาหว่านไถพรวนและปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคและใช้งาน
เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาต่อเนื่องขึ้น และถือเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรม เป็นอารยธรรมซึ่งมีพื้นฐานจากเกษตรกรรม
อารยธรรมนี้ส่งผลต่อรูปแบบการผลิต การจำหน่าย การดำเนินชีวิต วัฒนธรรม ครอบครัว
การเมืองกาปกครอง
และระบบสังคมซึ่งมีการแบ่งช่วงชั้นและแบ่งภารกิจหน้าที่ของกลุ่มคนต่างๆอย่างชัดเจน
4.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในแหล่งอารยธรรมต่างๆ
ช่วงเวลาของการสร้างอารยธรรมในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกมิได้เกิดพร้อมกัน
และมิได้พัฒนาไปในอัตราเดียวกัน
แต่ละพื้นที่และละกลุ่มชนมีระดับและรูปแบบของการพัฒนาแตกต่างกันไป
การที่เกษตรกรรมสามารถตอบสนองความต้องการอาหารเลี้ยงชีวิตสำหรับผู้คนจำนวนมากได้โดยไม่ต้องพึ่งกำลังคนทั้งหมดของชุมชน
ทำให้เกิดสังคมส่วนเกิน จึงมีการจัดสรรหน้าที่สำหรับชุชน ได้แก่
หน้าที่ในการป้องกัน การปกครอง งานฝีมือ และแรงงานต่างๆ
ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เข้มแข็ง
เกิดอารยธรรมสำคัญตามแหล่งต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมสุเมเรีย เมโสโปเตเมีย
อารยธรรมอียิปต์ลุ่มแน่น้ำไนล์
อารยธรรมลุ่มน้ำฮวงโหในจีน อารยธรรมสินธุในอินเดีย เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่าพัฒนาการทางเกษตรกรรมเป็นกระแสคลื่นลูกที่หนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์อย่างสำคัญ
5.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี
การก้าวเข้าสู่สังคมเกษตรกรรมเป็นเพียงขั้นตอนของพัฒนาการในสังคมโลก
ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ชุมชนเองขยายตัวมากขึ้น
ความต้องการทางวัตถุในด้านต่างๆมีมากขึ้น
ในขณะเดียวกันการเรียนรู้ของมนุษย์มิได้หยุดอยู่กับที่ มนุษย์ได้พัฒนาความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นอย่างต่อเนื่อง
จนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกระดับหนึ่งที่สำคัญ เรียกกันว่าปฏิวัติอุตสาหกรรม
ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถผลิตเครื่องมือ อุปกรณ์
ผลผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและสมาชิกในสังคมเป็นจำนวนมาก ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดความต้องการวัตถุดิบมาป้อนโรงงาน
ขณะเดียวกันโรงงานสามารถผลิตสินค้าเกินความต้องการในประเทศ
จึงต้องการหาตลาดนอกประเทศเพื่อระบายสินค้า
สถานการณ์นี้นำไปสู่ความจำเป็นในการขยายขอบเขตอำนาจของประเทศอุตสาหกรรม
พร้อมกับการขยายขอบเขตการค้า
เกิดการแพร่กระจายวัฒนธรรมและการครอบงำทางการเองตามไปด้วย จนประเทศมหาอำนาจในยุโรปกลายเป็นสังคมมั่งคั่ง
6.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคลัทธิพาณิชยนิยม(Mercantilism) และลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism)
เมื่อสังคมอุตสาหกรรมพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ความต้องการวัตถุดิบเพื่อตอบสนองผู้บริโภคในประเทศนำไปสู่การแสวงหาทรัพยากรจากอาณาบริเวณอื่นนอกเหนือจากสังคมอุตสาหกรรมในยุโรป
จนก่อให้เกิดลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantilism) และลัทธิจักรวรรดินิยม
(Imperialism) เพื่อแสวงหาและครอบครองอาณานิคมในบริเวณซึ่งชาวยุโรปเห็นว่าเป็นดินแดนเถื่อน
หรือดินแดนของอนารยชน
ในขณะเดียวกันกระแสโลกาภิวัตน์ในช่วงเริ่มต้นก็แผ่เข้าไปจากความพยายามยัดเยียดลัทธิความเชื่อทางศาสนา
ศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตและอารยธรรมแบบตะวันตกให้ผู้คนในประเทศที่อยู่ห่างไกลศูนย์ความเจริญอย่างยุโรปได้ถือปฏิบัติตาม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิต
การแลกเปลี่ยนสินค้า ระบบเศรษฐกิจ การเมือง
และสังคมที่แตกต่างไปจากสังคมเกษตรกรรมเดิม โดยประชากรในชนบทได้หลั่งไหลเข้าไปหางานทำและประกอบอาชีพในเมืองมากขึ้น
ทำให้เมืองชายตัว และพื้นที่เมืองก็เพิ่มขึ้นจนเกิดปัญหาใหม่ๆของสังคมอุตสาหกรรม
เช่น ปัญหาแรงงาน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสภาพแวดล้อม ปัญหาความแออัด ฯลฯ
ในสังคมดังกล่าว
ระบบทุนนิยมกลายเป็นเศรษฐกิจกระแสหลัก จนต่อมาเกิดกระแสตอบโต้โดยระบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศ
7.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรม
สังคมอุตสาหกรรมได้แบ่งผู้คนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่
คือ กลุ่มผู้ผลิตและผู้บริโภค
และฐานะของประชากรในสังคมถูกกำหนดโดยฐานะทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ในขณะที่บางสังคมยังยึดติดกับการผลิตทางเกษตรกรรม
สังคมที่พัฒนาเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมได้ก้าวเข้าสู่รูปแบบใหม่ของการดำรงชีวิตอย่างรวดเร็ว
จนทำให้สภาพทางสังคม วัฒนธรรม
และวิถีชีวิตของคนเองแตกต่างจากสังคมเกษตรกรรมเดิมอย่างสิ้นเชิง
สังคมอุตสาหกรรมไม่เหมือนสังคมเกษตรกรรมอีกต่อไป
เพราะได้กลายเป็นสังคมวัตถุนิยม(Materialism)
แบบบริโภคนิยม (Consumerism) ที่มีความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร
ในระยะต่อมาประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ได้กลายเป็นสังคมที่พัฒนาแล้ว ซึ่งแตกต่างจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมที่ยังพึ่งการผลิตทางการเกษตร
และปรับเปลี่ยนช้าจนกลายเป็นสังคมด้วยพัฒนา
ส่วนสังคมเกษตรกรรมที่พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมได้รับการขนานนามว่าสังคมของประเทศกำลังพัฒนา
แต่ต้องแลกด้วยการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมอันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ทศวรรษที่
1960
8.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคพัฒนาการของการคมนาคมขนส่ง
พัฒนาการของการคมนาคมขนส่ง
ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการค้าขายระหว่างประเทศ
ประกอบกับความต้องการแลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างประเทศที่สูงขึ้น
นำไปสู่การติดต่อเชื่อโยงระหว่างดินแดนต่างๆทั่วโลกมากว่าที่เคยเป็นไปในยุคสังคมเกษตรกรรม
โดยในชั้นแรกผลของการพัฒนาความสามารถในการเดินทาง โดยเฉพาะทางทะเล
ตามมาด้วยการขนส่งทางอากาศ
ทำให้การติดต่อค้าขายระหว่างสังคมต่างๆเป็นไปอย่างใกล้ชิดมากขึ้นมีปริมาณการขนส่งมากขึ้น
การติดต่อข้ามเขตพรมแดนของรัฐโดยประชากรชาติต่างๆก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในศตวรรษที่ 20
ต้องสะดุดลงหลายครั้งจากสงครามโลกสองครั้ง ตามด้วยสงครามเย็นและสิ้นสุดลงที่ความล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน
ค.ศ. 1992 สังคมโลกเริ่มปลอดภัยจากการเผชิญหน้าระหว่างสองอภิหาอำนาจ
โลกซึ่งเคยถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วตามลัทธิความเชื่อ(ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์) โดยประเทศต่างๆแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
(ส่วนกลุ่มเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมีจำนวนน้อย) ได้สิ้นสุดลง
9.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลังสงครามเย็น
หลังสงครามเย็น
สังคมอุตสาหกรรมต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อันเป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และระบบโทรคมนาคม
ซึ่งเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคนในโลกอย่างกว้างขวาง รุนแรง
และรวดเร็ว
ในขณะที่สังคมอุตสาหกรรมดำเนินไป
พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังก้าวรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ประเด็นของการพัฒนาที่เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ซึ่งนำไปสู่รูปแบบใหม่ของการทำงานและการสื่อสารระหว่างมนุษย์
จนกล่าวขานกันว่าเป็นการปฏิรูปกระแสสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต การทำงาน
และการประกอบอาชีพแทบทุกด้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผลของการพัฒนาดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงทุกสังคมบนโลกไปอย่างกว้างขวาง
โลกได้เปลี่ยนแปลงไป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชุมชนและมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป
สังคมโลกจะมีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว
10.สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลังอุตสาหกรรม
อันที่จริงก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20
นักวิชาการได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆรอบตัวและเริ่มกล่าวถึงสังคมยุคหลังอุตสาหกรรม
(Post-industrial world) หรือสังคมหลังสภาวะทันสมัย (Post-modernization) มากขึ้นทุกที (ดูตัวอย่างจากหนังสือเรื่อง
Post-Industrial Lives : Roles
and Relationships in the 21th Century และหลายบทความเกี่ยวกับสังคมหลังสภาวะทันสมัยในหนังสือชื่อ
The Cultural Reader) การวิเคราะห์ว่าสถานะความเป็นมนุษย์
บทบาทของมนุษย์ในสังคม
และลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์จะมีความสลับซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมาในสมัยสังคมอุตสาหกรรม
นักคิดและนักวิชาการซึ่งสังเกตพัฒนาการที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
ได้เสนอแนะแนวคิดคล้ายๆกันเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต
ดังตัวอย่างผลงานสามเล่มของแอลวิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) ได้แก่ เรื่อง Future
Shock (ค.ศ. 1978) The Third Wave (ค.ศ.1980) และ Power Shift (ค.ศ.1990)
ในหนังสือเล่มแรก
ทอฟเล่อร์กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญในโลก
และพาดพิงถึงพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคใหม่
แต่แนวคิดเรื่องโลกาภิวัตน์มาปรากฏชัดเจนขึ้นในหนังสือเล่มที่สอง (คลื่นลูกที่สาม)
ซึ่งทอฟเลอร์ได้แบ่งพัฒนาการในสังคมโลกออกเป็นสามกระแส กระแสแรกคือสังคมเกษตรกรรม
ซึ่งมีรูปแบบวิถีการดำรงชีวิตอันส่งผลต่อโครงสร้างระบบการเมืองเศรษฐกิจสังคมอย่างหนึ่ง
แต่เมื่อสังคมอุตสาหกรรมเข้าแทนที่ วิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ดังกล่าวก็เปลี่ยนไป
จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พัฒนาการของเทคโนโลยี ระบบสารสนเทศ
และระบบการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ได้ทำให้รูปแบบและโครงสร้างของระบบการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนไม่สามารถดำรงอยู่ได้
ต้องเปลี่ยนแปลงไป
ในแง่นี้ทอฟเลอร์เห็นว่าสังคมโลกยุคใหม่ได้เข้าสู่สังคมเทคโนโลยีข่าวสาร
หรือที่หลายคนเรียกต่างๆกัน เช่น สังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมดิจิทัล เป็นต้น
และในสังคมที่เปลี่ยนไปนี้ ฐานอำนาจเดิมในสังคมเดิมก็ถูกกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงฐานอำนาจไปจากเดิมอย่างรุนแรง
ดังรายละเอียดที่สามารถอ่านได้จากหนังสือเรื่องการเปลี่ยนอำนาจ
ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่สามของทอฟเลอร์
สรุปความได้ว่า สังคมของมนุษย์หลังจากที่เกิดและพัฒนามาในโลกนี้แล้ว
ก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงตามยุคต่างๆ ดังนี้ คือ 1)สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคเร่ร่อน,
2)สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลักปักฐานเป็นหลักแหล่ง,
3)โลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลักปักฐานเป็นหลักแหล่ง,
4)โลกเปลี่ยนแปลงในยุคการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรม,
5)โลกเปลี่ยนแปลงในยุคลัทธิพาณิชยนิยม
และลัทธิจักรวรรดินิยม ,6)สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรม,7) สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคพัฒนาการของการคมนาคมขนส่ง,
8)สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลังสงครามเย็น, และ 9)สังคมโลกเปลี่ยนแปลงในยุคหลังอุตสาหกรรม
.............................................................................
คำถามท้ายบทเรียน
1.) สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงในในยุคลัทธิพาณิชยนิยม
(Mercantilism) และลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) อย่างไรบ้าง
2.) จงกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคหลังสงครามเย็น
(Post-Cold War) และในยุคหลังอุตสาหกรรม (Post-industrial
world)
------------------------------------------------------
แหล่งที่มา
: SO ๒๑๓๘ พลเมืองโลกในกระแสโลกาภิวัตน์
โดย
: พลเรือตรีรองศาสตราจารย์ทองใบ ธีรานันทางกูร
สาระน่ารู้..มากๆๆ
ตอบลบ