วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

4. กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก




 กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

วิวัฒนาการโลกาภิวัตน์ และปัจจัยเร่งกระแสโลกาภิวัตน์

                   ในสัปดาห์นี้จะได้นำเสนอ “กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก”โดยมีสาระครอบ 2 หัวข้อ คือ วิวัฒนาการของโลกาภิวัตน์ และปัจจัยเร่งกระแสโลกาภิวัตน์ ดังจะได้กล่าวในรายละเอียดของทั้ง2 หัวข้อตามลำดับดังนี้
ถึงแม้ว่าโลกาภิวัตน์ดูจะเป็นคำใหม่ที่นิยมใช้กันไม่นานนี้ แต่กระบวนการโลกาภิวัตน์ได้เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว ดังจะได้นำมากล่าวโดยแบ่งเป็นยุคสมัยต่างๆ ดังนี้

                           1.กระแสโลกาภิวัตน์ในสมัยโบราณ
                    หลายคนเข้าใจผิดว่ากระแสโลกาภิวัตน์เกิดขึ้นเมื่อไม่สิบกี่สิบปีมานี้ แต่อันที่จริงกระแสโลกาภิวัตน์เกิดขึ้นมาช้านาน เริ่มต้นจากการแผ่ขยายในระดับใกล้ เช่น ในภูมิภาคเดียวกันไปจนถึงสังคมที่ห่างไกลกัน นักวิชาการอย่าง Andre Gunder Frank เห็นว่าโลกาภิวัตน์เริ่มจากสมัยที่คนจากสุเมเรียทำการค้ากับคนในลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อปราณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นก็เกิดกรณีแผ่ขยายอารยธรรมกรีกเข้าสู่สังคมอื่นตั้งแต่สเปนไปจนถึงอินเดีย นอกจากนี้การค้าระหว่างจักรวรรดิโรมัน ปาร์เธีย และฮั่น นำไปสู่เส้นทางสายไหม ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากภาคตะวันตกของจีน ผ่านไปถึงเขตอาณาจักรปาร์เธีย ต่อไปจนถึงโรมัน มองโกลเข้ามาอิทธิพลในจีน เส้นทางสายไหมก็ยิ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมโลกตะวันออกกับตะวันตก

                           2.กระแสโลกาภิวัตน์ตามเส้นทางเดินเรือ
                    อีกเส้นทางหนึ่งที่ส่งเสริมการติดต่อค้าขายระหว่างสังคมต่างๆ คือ เส้นทางเดินเรือ ซึ่งปีหนึ่งๆเรือกรีกประมาณ 300 ลำแล่นผ่านระหว่างอาณาจักรกรีโรมันกับอินเดีย ประมาณกันว่าสินค้าที่ค้าขายระหว่างกันอาจอยู่ปราณ 300,3000 ตัน ตัวอย่างการเดินเรือครั้งสำคัญของนายพลเรือจีนจางเหอในกลางศตวรรษที่ 15 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลจากจีนมากมาย ถือเป็นการบุกเบิกเส้นทางซึ่งเชื่อมโยงดินแดนห่างไกลให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

                        3.กระแสโลกาภิวัตน์ในช่วงยุคทองของอิสลาม
                   ช่วงยุคทองของอิสลามเป็นอีกช่วงหนึ่งซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์ส่งผลต่อการยอมรับวัฒนธรรมของประเทศคู่ค้า ทำนองเดียวกับเส้นทางการค้าเครื่องเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากแรงจูงใจแสวงหาวัตถุดิบในกระแสลัทธิพาณิชยนิยม ซึ่งตามมาด้วยลัทธิจักรวรรดินิยมและการยึดครองอาณานิคมเพื่อตักตวงผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก จากประเทศในดินแดนไกลโพ้นต่างๆระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17 เริ่มจากประเทศหาอำนาจ อย่างเช่น โปรตุเกส สเปน ดัตช์ และอาณาจักรบริติช

                      4.กระแสโลกาภิวัตน์ในศตวรรษที่ 17
                  อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงศตวรรษที่ 17 กระแสโลกาภิวัตน์ได้รับการผลักดันจากภาคธุรกิจเอกชนโดยบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เช่น British East India Company (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1600) ถือว่าเป็นบรรษัทข้ามชาติแรก ตามมาด้วย Dutch East India Company ในอีกสองปีต่อมา

                   5.กระแสโลกาภิวัตน์ในยุคคนพบทวีปใหม่และดินแดนใหม่
                 การแผ่ขยายอำนาจและค่านิยมแบบตะวันตกเกิดขึ้นได้จากการค้นพบทวีปใหม่ และดินแดนใหม่ในภูมิภาคไกลโพ้นยุคของการสำรวจ (Ag of Discovery) และการค้นพบดินแดนใหม่ๆเป็นตัวเร่งกระแสโลกาภิวัตน์และทำให้ประเทศในยุโรป เอเชีย แอฟริกา กระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆในโลกใหม่ เริ่มตอนปลายศตวรรษที่ 15 ซึ่งสองอาณาจักรในแหลไอบีเรีย คือ อาณาจักรโปรตุเกส และ คาสตีญ์ (Castil) ส่งกองเรือผ่านทวีปแอฟริกาตอนใต้ไปยังทวีปอเมริกา และมีการยึดครองหลายพื้นที่เป็นอาณานิคมของประเทศในยุโรป การยึดครองนี้เป็นไปอย่างสะดวกง่ายดายขึ้นเมื่อจักรวรรดิบริติสก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก อันเป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยี  เรือกลไฟ และเส้นทางรถไฟในศตวรรษที่ 19 หลังจากสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่งและสอง และการยึดครองอินเดีย ประชากรจำนวนมหาศาลได้กลายเป็นผู้บริโภคสินค้าอุตสาหกรรมของจักรวรรดิบริติช ในช่วงเวลาเดียวกันดินแดนในแอฟริกาบริเวณใต้ทะเลทรายซาฮาราและหมู่เกาะแปซิฟิกต่างๆได้ถูกดึงเข้ามารับผลของกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์

                  6.กระแสลาภิวัตน์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20
                      กระแสโลกาภิวัตน์ยุคใหม่เริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยมีความพยายามทำลายกำแพงการค้าจนเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศและเกิดสงครามโลกถึงสองครั้ง

                   ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ได้มีการประชุมระหว่างผู้แทนฝ่ายพันธมิตรจาก 44 ประเทศ จำนวน 730 คน ที่เมืองเบรตตัน วูดส์ (ค.ศ. 1944) ถือเป็นการร่วมวางโครงการสร้างการค้าและการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ กระแสโลกภิวัตน์ครั้งนี้ได้รับการกระตุ้นจากบรรษัทข้ามชาติซึ่งส่วนใหญ่มีที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ในช่วงนี้การแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีมากขึ้น โดยต้นกำเนิดส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่เจริญแล้วในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเช่นกัน ที่สำคัญคือการแพร่กระจายวันธรรมตะวันตกมีความเข้มข้นและส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นจากการที่สื่อมวลชนและเครื่องมือโทรคมนาคมรูปแบบต่างๆได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วให้ความสะดวกมากมายและมีราคาถูก

                               โดยสรุปแล้ว กระแสโลกาภิวัตน์เริ่มต้นจากการที่สังคมแต่ละสังคมอยู่แยกออกจากกันด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ แต่เอกชุมชนขยายตัวขึ้นอันเป็นผลจากการปฏิวัติทางเกษตรกรรมซึ่งก่อให้เกิดอารยธรรม ความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนและครอบงำจึงเกิดขึ้นตามมา เมื่อความต้องการวัตถุดิบและตลาดสินค้าเพิ่มขึ้นในยุคอุตสาหกรรม บรรดามหาอาจได้แผ่ขยายอำนาจของตนออกไป ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสังคมต่างๆใกล้ชิดมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการแลกเปลี่ยนความรู้ ภาษา ค่านิยม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ทั้งที่เป็นการบังคับครอบงำโดยชุมชนที่มีอำนาจเหนือกว่า หรือโดยเต็มใจเนื่องจากพบว่าวัฒนธรรม รูปแบบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีของสังคมอื่น มีผลดีต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพในสังคมของตน ตัวอย่างเช่น สังคมการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับวัฒนธรรมและรูปแบบการเมืองการปกครองจากสังคมที่พัฒนากว่าจากเอเชียใต้ (อินเดีย) และเอเชียตะวันออกไกล (จีน) ก่อนที่ประเทศยุโรปจะเข้ามามีบทบาท หรือมหาอำนาจอย่างโปรตุเกสและสเปนได้เผยแผ่วัฒนธรรมทางศาสนา ภาษาและการปกครองไปยังดินแดนที่ตนถือครองส่วนใหญ่ในละตินอเมริกา ปราณศตวรรษที่ 16-17

2.ปัจจัยเร่งกระแสโลกาภิวัตน์
ในภาพรวมปัจจัยที่เป็นตัวเร่งกระแสโลกาภิวัตน์ที่สำคัญในโลกปัจจุบัน ได้แก่

                           1) ความสะดวกด้านการเดินทาง การสื่อสาร และโทรคมนาคม ความสะดวกนี้เป็นปัจจัยส่งเสริมอัตราความรวดเร็วและการขยายตัวของการเผยแพร่ข่าวสาร ภาพ รายการบันเทิง การติดต่อ การประกอบธุรกรรม การลงทุน สินค้า และจำนวนประชากรที่เดินทางทั่วโลก นำไปสู่รูปแบบของชีวิตที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น ซึ่งมนุษย์ในสังคมโลกแทบทุกพื้นที่ถือเป็นแบบอย่างสากล แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงและความเสี่ยงในการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าอัตราการเกิดของอาชญากรรม โรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติด การก่อการร้าย การบริโภคที่ไม่ถดถอย และการทำลายสภาวะแวดล้อมก็เกิดขึ้นในอัตราเร่งเช่นกัน

                      2) โครงสร้างและระบบที่เอื้อต่อความสัมพันธ์ข้ามชาติ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวางทั่วโลก ได้แก่  การจัดโครงสร้างระบบเครือข่าย และการกำหนดกฎระเบียบที่ขจัดอุปสรรคขัดขวางการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งการรวมตัวในภูมิภาคเพื่อจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน ส่งเหล่านี้ส่งผลให้การส่งต่อวัฒนธรรม วิถีปฏิบัติ และการแลกเปลี่ยนด้านต่างๆในลักษณะสากลเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ถือเป็นปัจจัยเร่งกระแสโลกาภิวัตน์อีกทางหนึ่ง

                        3) บทบาทของสื่อมวลชนทั่วโลก  เนื่องจากความต้องการข่าวสารและความสนใจใคร่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น สื่อสารมวลชนจึงมีบทบาทในการเกาะติดสถานการณ์และรายงานข่าว ซึ่งสามารถทำได้อย่างสะดวกง่ายดายโดยอานิสงส์จากโครงการเครือข่ายการสื่อสารข้ามโลก และอุปกรณ์การสื่อสารที่ช่วยให้การกระจายข่าวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และน่าสนใจ ทำให้วิชาชีพสื่อสารมวลชนเป็นอาชีพสำคัญที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และเกิดเครือข่ายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างกัน จนทำให้ประชากรโลกโดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆทั่วโลก ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม หรือแบบแผนปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันตามไปด้วย

                           4) บทบาทขององค์การเหนือชาติ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมา องค์การข้ามชาติลักษณะต่างๆไม่ว่าจะเป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของรัฐชาติหรือองค์การวิชาชีพ บรรษัทข้ามชาติ องค์การเอกชนระหว่างประเทศ องค์การการกุศล หรือรวมไปถึงขบวนการต่างๆ เช่น ขบวนการศาสนา ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการยาเสพติด ฯลฯ บทบาทมากขึ้นในการดำเนินการเพื่อตอบสนองผลประโยชน์และวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งของตน โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ประชากรหรือคนที่ไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในเขตรัฐชาติ องค์การเหล่านี้มีส่วนสำคัญทั้งในเชิงบวกหรือในเชิงลบที่ส่งผลต่อวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมโลก

                   5) บทบาทของประเทศมหาอำนาจ ประเทศมหาอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าเดิมและกลุ่มอำนาจใหม่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ฯลฯ ผลประโยชน์สำคัญจากการส่งออกความช่วยเหลือ การลงทุน สินค้า บริการ และเทคโนโลยีไปยังประเทศอื่นๆประเทศเหล่านี้จึงเป็นแกนนำในการกำหนดรูปแบบวิธีการที่จะขจัดหรือลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ วางระเบียบเศรษฐกิจการค้าสากล และกำหนดเงื่อนไขการค้าหรือการแลกเปลี่ยนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน กรอบกติกาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นแบบแผนปฏิบัติสากลที่ทุกประเทศต้องถือปฏิบัติ นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศมหาอำนาจยังมีความต้องการสินค้าและบริการบางอย่างจากประเทศอื่น จึงอาศัยอำนาจในการต่อรองของตนกำหนดเงื่อนไข และวางมาตรฐานสำหรับประเทศคู่ค้าต่างๆจนส่งผลให้เกิดการถือปฏิบัติตามแนวทางสากลมากขึ้น

.....................................................................................................
คำถามท้ายบทเรียน
1. จงอธิบายถึงวิวัฒนาการของโลกาภิวัตน์มาให้เป็นที่เข้าใจอย่างละเอียด
2. จงบอกถึงปัจจัยเร่งกระแสโลกาภิวัตน์ว่ามีอะไรบ้าง

.....................................................................


แหล่งที่มา :  SO ๒๑๓๘      พลเมืองโลกในกระแสโลกาภิวัตน์

โดย : พลเรือตรีรองศาสตราจารย์ทองใบ ธีรานันทางกูร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น