ความสัมพันธ์และผลกระทบของลาภิวัตน์ต่อสังคมโลกและมนุษย์
-ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม
ในขณะที่วิถีชีวิต ภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มคนในท้องถิ่นหรือภูมิภาคต่างๆในสังคมของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน
ความแตกต่างกันในเรื่องของความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ
วิธีการดำรงชีวิต วัฒนธรรม และลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มคนในแต่ละประเทศก็ยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าความแตกต่างระหว่างสังคมในประเทศ
อย่างไรก็ดีหากลักษณะเฉพาะของสังคมหนึ่งมีผู้รับรู้ ลอกเลียน
หรือประยุกต์โดยบุคคลหรือกลุ่มคนในสังคมอื่น
ความแตกต่างดังกล่าวย่อมลดลงและอาจเกิดการผสมกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมมาขึ้น
ซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนสำคัญในการสร้างการยอมรับและความผสมกลมกลืนอย่างมาก
ในสังคมปัจจุบันซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นสังคมไร้พรมแดนหรือหมู่บ้านโลก
ระดับของการเรียนรู้ระหว่างกันเป็นไปอย่างสะดวกง่ายดาย
จากผลของการพัฒนาด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมประชากรโลกมีโอกาสรับรู้
ลอกเลียนหรือประยุกต์วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในสังคมอื่นที่ไกลโพ้นอย่างกว้างขวางขึ้นกว่าที่เคยเป็น
ข้อที่น่าสังเกต คือ
การรับวัฒนธรรมนั้นมักมีลักษณะของการเลือกรับวัฒนธรรมของประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจสูงกว่าหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งวัฒนธรรมของประเทศร่ำรวยด้านวัตถุมักกระจายไปสู่ประเทศยากจนกว่า
ในขณะที่วัฒนธรรมของประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางวัตถุต่ำกว่ามีโอกาสน้อยกว่าที่จะเป็นที่ยอมรับโดยประชาชนของประเทศที่พัฒนาแล้ว
จนถึงกับมีการกล่าวถึงการพัฒนาไปสู่สังคมแบบตะวันตก(Westernization) หรือการพัฒนาให้เป็นแบบอเมริกัน(Americanization)
มากว่าที่จะกล่าวถึงการพัฒนาสู่สังคมตะวันออก
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ
วัฒนธรรมทางวัตถุมีแนวโน้มที่จะกระจายออกไปง่ายกว่าวัฒนธรรมทางจิตใจ
ดังปรากฏว่าวิถีชีวิตแบบทุนนิยม วัตถุนยม
หรือบริโภคนิยมเป็นประเด็นหลักในกระแสโลกาภิวัตน์
อย่างไรก็ดีถึงแม้นักวิจารณ์จะวิพากษ์ว่าโลกาภิวัตน์เป็นต้นเหตุของการกลายเป็นตะวันตกก็ตาม
แต่รายงานของยูเนสโกเมื่อ ค.ศ. 2005
ระบุว่าการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเป็นปรากฏการณ์ซึ่งมิได้จำกัดเฉพาะแต่วัฒนธรรมตะวันตกเท่านั้น
ใน ค.ศ. 2002
สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศส่งออกสินค้าวัฒนธรรมใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
ระหว่าง ค.ศ. 1994 ถึง ค.ศ. 2002
ทั้งอเมริกาเหนือและกลุ่มประเทศในประชาคมยุโรปต่างมีอัตราการส่งออกวัฒนธรรมที่ลดลง
ในขณะที่การส่งออกวัฒนธรรมของเอเชียเริ่มขยายตัวมากขึ้น
การรับหรือแม้แต่การเลือกรับวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมอื่นที่แตกต่างไปจากค่านิยมและธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมตนเองมีทั้งโอกาสและข้อจำกัด
กล่าวคือ
ในแง่ของข้อจำกัด มีตัวอย่างสำคัญ ได้แก่
1)
เกิดการครอบงำโดยประเทศที่เหนือกว่าโดยส่งทอดวัฒนธรรมที่สะท้อนพื้นฐานและบริบทของสังคมที่เป็นต้นกำเนิด
ในกรณีนี้เนื่องจากสังคมต้นกำเนิดส่วนใหญ่เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่เน้นลัทธิวัตถุนิยมและบริโภคนิยม
ในสังคมผู้รับนั้นกลุ่มประชากรที่สามารถรับวัฒนธรรมได้ คือ
กลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง
ส่วนคนที่มีฐานะด้อยกว่าขาดปัจจัยเกื้อหนุนที่จะช่วยให้สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตดังกล่าวได้
ผลคือความเหลือมล้ำทางสังคมยิ่งขยายกว้างออกไปโดยกลุ่มคนที่ไม่สามารถรับประโยชน์ได้จะเกิดความผิดหวัง
(frustration)อันเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง การกดขี่เอาเปรียบ
และความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายสังคม
2) เกิดความเสื่อมสูญหรือล่มสลายของวัฒนธรรมถิ่นหรืวัฒนธรรมพื้นบ้าน
เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมอื่น
โดยเฉพาะวัฒนธรรมสากลซึ่งแพร่หลายผ่านสื่อมวลชนและช่องทางการสื่อสารอื่นๆ
ในขณะที่โอกาสการอบรมบ่มเพาะนิสัยทางสังคมโยคนรุ่นเก่าลดลงเนื่องจากหลายประเทศจัดระบบการศึกษาสากลอย่างเป็นทางการและพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรับภาระในการทำมาหากินเลี้ยงชีวิตในสังคมเมือง
ส่วนคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยในพื้นที่ชนบทหรืออาศัยแยกจากลูกหลานจากการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว
ผลคือการเสื่อมสลายของวัฒนธรรมดั้งเดิมหรืวัฒนธรรมถิ่น
3) เกิดผลกระทบต่อประชากร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้มีหลายลักษณะ ขึ้นกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างได้แก่
การสูญเสียกำลังคนระดับสมองที่เรียกว่าสมองไหลหรือแรงงานฝีมือจากประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังประเทศที่เจริญกว่าและให้ผลตอบแทนสูงกว่า
การสูญเสียนี้ก่อให้เกิดการขาดแคลนนักวิชาชีพ เช่น แพทย์ หรืนักคิด นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์
นักวางแผน ซึ่งจะสามารถผลักดันสังคมให้เผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างได้ผล
อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่ การเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานต่างด้าว คนอพยพ
หรือผู้ลี้ภัยซึ่งเข้ามาแสวงหาโอกาสในประเทศที่เจริญแล้ว
โดยเฉพาะคนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม บางคนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการประกอบอาชีพโสเภณีหรือเขาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมมิจฉาชีพต่างๆ
4) การจ้างงานภายนอก (outsourcing)
โลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงลักษณะการทำงานและเอื้อให้เกิดระบบการจ้างงานจากภายนอก
ซึ่งเดิมมักเข้าใจว่าจำกัดเฉพาะการจ้างงานนอกภาคราชการ หรือนอกสถานประกอบการ
แต่ในสังคมใหม่การจ้างงานภายนอกครอบคลุมไปถึงการจ้างงานนอกประเทศ ตัวอย่างเช่น
ระบบการผลิตครบวงจรซึ่งมีสายการผลิตแบบเครือข่ายที่ครอบคลุมไปหลายประเทศ
(กรณีการผลิตรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)การจ้างคนในประเทศอื่นในการพัฒนาซอฟท์แวร์
หรือแม้แต่ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานประกอบการซึ่งมีที่ตั้งในอีกประเทศหนึ่ง
ซึ่งเกิดขึ้นได้สะดวกเนื่องจากระบบโทรคมนาคมสื่อสารเอื้อประโยชน์
ผลคือคนในประเทศที่มีระดับความสามารถต่ำกว่าหรือมีระบบที่เอื้อประโยชน์น้อยกว่าต้องตกงานเพราะไม่สามารถแข่งขันในระดับสากล
ผลต่อเนื่องคือสหภาพแรงงานถูกบั่นทอนความสามารถในการดูแลปกป้องสมาชิกของตน
5) แรงกดดันให้เร่งเปลี่ยนแปลง
ข้อกำกัดสำคัญ คือ
ประเทศต่างๆต้องเผชิญปัญหาต่างๆที่ต้องปฏิรูปหรือเร่งรัดแก้ปัญหา
อันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัตน์ ในกรณีนี้
ความสามารถในการป้องกัน เผชิญปัญหา หรือแก้ไขปัญหาย่อมขึ้นกับความจริงใจ
ความเข้าใจ และความพร้อมของผู้รับผิดชอบในการดูแลสังคมนั้นๆ
เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสมปัญหาที่เกิดขึ้นทุกด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็จะยิ่งลุกลามใหญ่โตจนแก้ไขยากและส่งผลต่อความทุกข์สุขของคนในสังคมนั้นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในแง่ข้อโอกาสนั้น มีตัวอย่างที่น่าสนใจ
ได้แก่
1) โอกาสจากการเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง
เป็นโอกาสสำคัญในการศึกษาค้นคว้า
และเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนและหากประเทศใดสามารถพัฒนาความรู้ได้อย่างต่อเนื่องก็จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างดี
2) ประโยชน์จากสื่อ อุปกรณ์
และเทคโนโลยีสมัยใหม่ พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนรูปแบบวิธีการประกอบอาชีพหรือการดำเนินการต่างๆในแทบทุกด้านของสังคมย่อมเป็นโอกาสให้แต่ละสังคมสามารถรับไปประยุกต์ปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในสังคมของตน
ดังนั้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี
การร่วมทำงานกับสถานประกอบการและผู้ลงทุนจากต่างประเทศตลอดจนการมีโอกาสเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้คนจากต่างถิ่น
ย่อมเป็นการให้ข้อมูลสำคัญเพื่อการดำรงชีวิตและการพัฒนาสังคมอย่างสำคัญ
3) รู้จักตัวเอง
และตระหนักในสภาพการเปลี่ยนแปลงซึ่งกระทบตัวตัวเอง
การรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านระบบการสื่อสารสมัยใหม่ รวมถึงการได้พบปะผู้คนจากสังคมอื่น
ถือเป็นโอกาสที่คนในแต่ละประเทศจะได้เปรียบเทียบสถานะของตนกับผู้อื่น
และเข้าใจถึงผลของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวอันส่งผลกระทบต่อสังคมของตนเอง
ความรู้ความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตื่นตัว
เตรียมพร้อมและปรับตัวเองในด้านต่างๆเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม
4) รับรู้ค่านิยม ทัศนคติ
และสมรรถนะที่จำเป็นในการพัฒนาสังคม
จากการเรียนรู้จากผู้อื่น
ผู้ที่สนใจกระแสโลกาภิวัตน์ย่อมเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับการเผชิญสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมของตนเอง
แต่ต้องเขาใจวิธีคิด ทัศนคติและสมรรถนะใหม่ๆที่แตกต่างไปจากความเคยชินแต่เดิม
เพราะหากไม่เข้าใจประเด็นซึ่งเป็นลักษณะนามธรรมอย่างนี้แล้ว
การลอกเลียนหรือรับวิธีปฏิบัติจากภายนอกก็จะมีลักษณะการลอกรูปแบบวิธีการเอามาใช้โดยปราศจากความเข้าใจหรือการปรับแปลงให้เหมาะสมกับสังคมของตน
5) การใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบ
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มีคุณค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด
หมายความว่า แต่ละประเทศล้วนมีทรัพยากรมีค่าอันเป็นที่ต้องการของประเทศอื่น
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ (น้ำมัน ผลิตผลการเกษตร อัญมณี ฯลฯ”
สถานที่พักผ่อนท่องเที่ยว
(แหล่งพักผ่อนตามธรรมชาติหรือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์) บริการเฉพาะด้าน
(สุขภาพอนามัย การรักษาพยาบาล ที่พักอาศัยสำหรับคนชรา ฯลฯ)
ซึ่งหากตระหนักถึงความต้องการดังกล่าว ก็สามารถผลิตหรือพัฒนาให้เกิดจากมูลค่า
อันเป็นการเพิ่มประโยชน์ในเชิงรายได้เพื่อการพัฒนาหรือการกินดีอยู่ดีของคนในประเทศมากขึ้น
การที่แต่ละสังคมจะใช้โอกาสหรือเผชิญแรงกดดันท้าทายได้มากน้อยเพียงใด
ขึ้นกับคุณภาพของผู้นำและคนในแต่ละสังคม
ในแง่โครงสร้างแต่ละประเทศเกิดความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบที่เป็นอยู่ทุกด้านอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ในลักษณะที่เรียกว่าการปฏิรูปไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูประบบราชการ
การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปการศึกษา
คำว่าการปฏิรูปนั้นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบบ รูปแบบ วิธีการ
และกระบวนการในการดำเนินการที่เป็นอยู่อย่างรวดเร็วและเกิดผลจริง
อย่างไรก็ดีการปฏิรูปดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของการลอกเลียนเอาอย่างประเทศอื่น
ถึงแม้ว่าจะอาศัยรูปแบบวิธีการของประเทศอื่นที่ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปมาเป็นตัวอย่างก็ตาม
แต่จำเป็นต้องปรับปรุงดัดแปลงให้เหมาะสมกับบริบทและระดับความพร้อมในการดำเนินการของแต่ละสังคม
ที่สำคัญคือการปฏิรูปใดๆก็ตามเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์มีความมุ่งมั่นผลักดันเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมและมีความต่อเนื่องในการดำเนินการอย่างจริงจัง
มิฉะนั้นก็รังแต่จะได้การเปลี่ยนแปลงเพียงผิวเผยไม่เกิดผลจริงจึงต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์และวิธีการคิดอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในระดับนโยบายและต้องสามารถทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับในสังคมเข้าใจและร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจึงเกิดผล
................................................................
คำถามท้ายบทเรียน
1.การรับวัฒนธรรมมักมีลักษณะเป็นอย่างไร
จงอธิบาย
2.จงกล่าวถึงโอกาสและข้อจำกัดของการรับวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง
ให้อธิบายมาแต่เพียงสังเขปพอเป็นที่เข้าใจ
.....................................................................
แหล่งที่มา :
SO ๒๑๓๘
พลเมืองโลกในกระแสโลกาภิวัตน์
โดย : พลเรือตรีรองศาสตราจารย์ทองใบ
ธีรานันทางกูร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น